สิวอักเสบคืออะไร
สิวแต่ละประเภทต่างกันจากสิ่งที่อุดตันภายในรูขุมขน สิวอักเสบคือ สิวที่มีอาการบวมแดงและมีแบคทีเรีย น้ำมัน และเซลล์ผิวที่ตายแล้วอุดตันภายในรูขุมขน ในบางครั้ง แบคทีเรีย P. acnes สามารถทำให้เกิดสิวอักเสบได้เช่นกัน ในขณะที่ สิวอุดตัน (Comedonal acne) จะอยู่ส่วนนอกของผิวและมักไม่ได้เกิดขึ้นจากแบคทีเรีย
สิวอักเสบมีหลายแบบ
วิธีการรักษาสิวอักเสบขึ้นอยู่กับประเภทของสิวนั้นๆ ได้แก่
- สิวอุดตันอักเสบ: สิวหัวดำหรือหัวขาวที่มีอาการบวม
- สิวที่เป็นตุ่ม (Papules) มีขนาดเล็ก ตุ่มแดง มีอาการอักเสบโดยรอบ
- สิวหัวหนอง (Pustules) ตุ่มสิวที่ตรงกลางเป็นหนอง และมีขนาดใหญ่กว่าสิวที่เป็นตุ่มทั่วไป
- สิวอักเสบแดงเป็นก้อน (Nodules) มีลักษณะเป็นตุ่มสีแดง ข้างในเป็นหนอง อยู่ใต้ผิวหนัง
- สิวซีสต์ (Cysts) เป็นสิวอักเสบที่รุนแรงที่สุด โดยจะมีลักษณะเป็นตุ่มสีแดงอักเสบ ไตแข็งอยู่ใต้ผิว รู้สึกเจ็บเมื่อสัมผัส
สิวอักเสบมักพบได้ทั่วไปบริเวณใบหน้า คอ อก หลัง หัวไหล่ ต้นแขน และบริเวณลำตัว
>> ผลิตภัณฑ์รักษาสิว แต่ละอย่างต่างกันอย่างไร
รักษาสิวอักเสบอย่างไร
สิวอักเสบสามารถแพร่กระจายและก่อให้เกิดแผลเป็นได้ ดังนั้นการรักษาสิวอักเสบควรเริ่มตั้งแต่เนิ่นๆ แพทย์ผิวหนังอาจแนะนำยาที่หาได้ตามร้านขายยาทั่วไปในการรักษาก่อนการรักษาด้วยยาหรือวิธีการที่แรงขึ้น ทั้งนี้ ถ้าปัญหาสิวของคุณรุนแรง คุณควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังในการรักษาสิวอักเสบและการรักษาอาจใช้ระยะเวลาหลายสัปดาห์กว่าที่ผลการรักษาจะเห็นได้ชัด
การรักษาสิวอักเสบโดยทั่วไป
มีผลิตภัณฑ์หลายชนิดในท้องตลาดที่โฆษณาว่าสามารถใช้ในการรักษาสิวอักเสบได้ ซึ่งคุณควรเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบหลักดังนี้
- Benzoyl peroxide – ช่วยในการฆ่าเชื้อ acnes ที่อุดตันในรูขุมขนและลดอาการอักเสบ ยานี้อาจมีผลข้างเคียงทำให้ผิวแห้งได้ ดังนั้น คุณจึงควรใช้ในการรักษาเฉพาะจุดเพื่อลดอาการข้างเคียงดังกล่าว
- Salicylic acid – ช่วยในการผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วจากรูขุมขน แล้วยังสามารถช่วยรักษาอาการอักเสบของสิวและป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นใหม่ได้ สามารถใช้ได้ทั่วใบหน้า แต่คุณควรครีมบำรุงผิวเพื่อลดอาการหน้าแห้งที่อาจเกิดขึ้นได้
- Sulfur – สามารถพบได้ในผลิตภัณฑ์จัดการปัญหาสิวทั่วไป สารนี้จะให้ผลลัพธ์ดีที่สุดกับสิวอุดตันและสิวที่มีอาการไม่รุนแรง
เริ่มต้นด้วยการใช้คลีนเซอร์ที่มีส่วนผสมของ Salicylic acid และใช้ benzoyl peroxide ในการรักษาสิวเฉพาะจุด การรักษาอาจใช้ระยะเวลาหลายเดือนถึงจะเริ่มเห็นผล และในบางกรณีสิวอักเสบอาจไม่ตอบสนองต่อการรักษาประเภทนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าสิวเห่อหนักมาก ดังนั้นถ้าสิวของคุณไม่ดีขึ้นหลังจากใช้การรักษาสิวอักเสบประเภทนี้เป็นเวลา 2-3 เดือน คุณควรเข้าพบแพทย์ผิวหนังเพื่อรับการรักษา
>> คลีนิครักษาสิว แบบไหนไม่ควรเข้า
การรักษาสิวอักเสบโดยใช้ยารักษาสิว
แพทย์ผิวหนังอาจแนะนำให้คุณรับประทานยาหรือใช้ยาทาดังต่อไปนี้ ซึ่งขึ้นอยู่กับอาการของสิวอักเสบ
- ยาทากลุ่มกรดวิตามินเอ หรือเรตินอยด์ (Topical retinoids)
เป็นอนุพันธ์ของวิตามินเอที่ช่วยในการผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว สามารถพบได้ในผลิตภัณฑ์ลดเรือนริ้วรอยทั่วไป และผลิตภัณฑ์กลุ่ม Differin และ Retin-A ซึ่งช่วยในการรักษาสิวอักเสบได้ อย่างไรก็ตาม การรักษาด้วยยาทากลุ่มนี้สามารถทำให้ผิวแดง ลอก และไวต่อรังสียูวีได้ ดังนั้น เมื่อใช้ผลิตภัณฑ์นี้ ควรมีการทาครีมกันแดดเป็นประจำ
- ไอโซเตรทติโนอิน (Isotretinoin)
เป็นอนุพันธุ์ของกรดวิตามินเอสำหรับรับประทาน ใช้สำหรับในกรณีที่สิวอักเสบรุนแรงเช่น สิวซีสต์ และรักษาด้วยวิธีอื่นไม่ได้ผล แต่ทั้งนี้ ไอโซเตรทติโนอินสามารถก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้มากและรุนแรง ควรหลีกเลี่ยงการใช้ไอโซเตรทติโนอินถ้าคุณกำลังตั้งครรภ์ ให้นมบุตร หรือสงสัยว่ากำลังตั้งครรภ์
- ยาปฏิชีวนะชนิดรับประทาน (Oral antibiotics)
ถ้าแพทย์ผิวหนังวินิจฉัยว่า สิวเกิดขึ้นจากปริมาณ P. acnes ที่มากเกินไป แพทย์อาจให้ยาปฏิชีวนะชนิดรับประทาน เพื่อใช้ลดและควบคุมจำนวนเชื้อแบคทีเรียเหล่านี้ชั่วคราว มักใช้ในกรณีที่มีสิวซีสต์กระจายทั่วหน้า
- ยาปฏิชีวนะชนิดทา (Topical antibiotics)
ข้อดีของยาชนิดทาคือ สามารถใช้ได้ตั้งแต่ 2 วันจนถึง 2 เดือนได้ นานกว่าแบบทานที่ใช้ได้เพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ อย่างไรก็ตาม ยาปฏิชีวนะชนิดทาจะให้ผลลัพธ์ได้ไม่ดีเท่ากับชนิดรับประทาน ดังนั้นเราจึงมักใช้ยาชนิดนี้รักษาสิวอักเสบที่มีความรุนแรงน้อยลง เช่น สิวหัวหนอง
- การรักษาสิวอักเสบด้วยฮอร์โมน (Hormonal Treatment)
สิวอักเสบในบางครั้งเกิดจากภาวะฮอร์โมนแปรปรวน ดังนั้น แพทย์จะให้ยาที่ช่วยในการลดฮอร์โมนเพื่อช่วยในการรักษาสิวอักเสบ เช่น ยาคุมกำเนิดสามารถใช้เพื่อช่วยรักษาอาการสิวอักเสบของผู้หญิงในช่วงก่อนและระหว่างเกิดประจำเดือนได้ ยา Spironolactone สามารถใช้เพื่อช่วยรักษาสิวหัวหนองและสิวซีสต์ที่เกิดจากระดับของฮอร์โมน Androgen ที่มากผิดปกติได้
>> คลีนิครักษาสิว แบบไหนไม่ควรเข้า
คำแนะนำสำหรับการดูแลผิว
การรักษาสิวอักเสบจำเป็นต้องทำควบคู่กับการดูแลผิวหน้าที่ถูกต้องเพื่อลดความรุนแรงของสิวและลดปัญหารอยแผลเป็นที่ตามมาทีหลังได้ โดยสามารถทำได้ดังนี้
- หลีกเลี่ยงการบีบสิวโดยเฉพาะสิวอักเสบ เนื่องจากอาจทำให้สิวลามและแพร่กระจายไปบริเวณอื่นได้
- ล้างหน้าในตอนเช้าและตอนเย็นด้วยคลีนเซอร์แบบเจลที่อ่อนโยน
- อาบน้ำทันทีหลังการออกกำลังกาย
- ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าที่ปราศจากน้ำมันในการบำรุงผิวหน้าหลังการล้างหน้าสม่ำเสมอ เนื่องจากผิวที่ขาดน้ำมันและน้ำจากการทำความสะอาดผิวหน้าจะกระตุ้นการทำงานของต่อมไขมันและทำให้เกิดสิวได้
- ทาครีมกันแดดเป็นประจำเพื่อช่วยป้องกันผิวจากรังสียูวีและเป็นสิ่งที่จำเป็นหากคุณรักษาสิวอักเสบด้วยเรตินอยด์หรือการรักษาอื่นๆ ที่ทำให้ผิวไวต่อแดด
- เลือกใช้เครื่องสำอางที่ปราศจากน้ำมันและไม่อุดตันรูขุมขน ควรล้างเครื่องสำอางให้หมดก่อนการล้างหน้าในเวลากลางคืน
สรุป
การรักษาสิวอักเสบอาจดูเป็นงานที่ยากและแทบเป็นไปไม่ได้ในบางครั้ง แต่คุณสามารถทำได้โดยเริ่มจากการดูแลผิวหนังเป็นประจำทุกวันโดยการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าที่ปราศจากน้ำมัน ใช้คลีนเซอร์แบบเจล และใช้ benzoyl peroxide ในการรักษาเฉพาะจุด ถ้าไม่ได้ผล คุณควรเข้าปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาที่ตรงจุด